7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ยุคกลาง)
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง เป็นสิ่งก่อสร้าง อายุตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 5 - คริสตศตวรรษที่ 16
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ถูกจัดขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายต่อมา หลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณแทบทั้งหมด ยกเว้นพีระมิด ล้วนแต่เสื่อมโทรมเสื่อมสลายไปหมดสิ้น เหลือ
เพียงร่องรอยหลักฐาน หรือแบบจำลองเท่านั้น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง จึงล้วนแต่ยังดำรงอยู่เป็นหลักฐาน
ให้ศึกษากันในปัจจุบัน ถึงแม้จะเสื่อมโทรมไปบ้างตามกาลเวลา
สำหรับคำว่า สมัยกลาง ของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง มีความหมายเพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ยุคถัดมา จากยุคโบราณเท่านั้น ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1.หอเอนเมืองปิซา
2.สนามกีฬากรุงโรม
3.สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย
4.สุเหร่าเซ็นโซเฟีย
5.กำแพงเมืองจีน
6.เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง
7.กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์
----------------------------------------------------------------------------------
ชื่อสถานที่ หอเอนเมืองปิซา Leaning Tower of Pisa
สถานที่ตั้ง เมืองปิซา ประเทศอิตาลี
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
หอเอนแห่งเมืองปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของ
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร
เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี ซึ่งเหตุที่ทำให้การ
ก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272
โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงัก
ลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆัง
ถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซา
ได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา และหอเอนนี้ ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง
----------------------------------------------------------------------------------
ชื่อสถานที่ สนามกีฬากรุงโรม Colosseum of Rome
สถานที่ตั้ง กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ใหญ่โตของอาณาจักร
โรมันสมัยโบราณ เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของ
จักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือระหว่าง พ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80) ตัวสนาม
มีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมี
อัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหาร
ชีวิต และสิงโตหลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่า
สิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้
กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและ
ยกย่องกันมาก ปีๆ หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมัน
เสื่อมลงก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันยเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม
------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อสถานที่ สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย ( คาตาโคมป์ ) Catacombs of Alexandria Egypt
สถานที่ตั้ง เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นอุโมงค์ที่เก็บศพ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์อียิปต์โบราณ อุโมงค์ฝังศพนี้
มีชื่อเรียกว่า คาตาโคมบ์ (Catacombs) เป็นอุโมงค์ที่สร้างด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ และ ขุดลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางตอน
ลึกถึง 21 ถึง 24 เมตร (70-80 ฟุต) มีทางเดินกว้างถึง 1.2 เมตร (3-4 ฟุต) วกไปเวียนมา ตัวสุสานใต้ดินแห่งนี้มี
สามชั้น ชั้นที่ 1 มีไว้สำหรับเตรียมการปลงศพ ชั้นที่ 2 เป็นที่เก็บรักษา และชั้นที่ 3 ใช้เป็นที่รวมญาติเพื่อระลึกถึง
ผู้ตาย โดยมีการเลี้ยงสังสรรค์กันทั้งวัน ซึ่งเล่ากันว่าตอนที่นักโบราณคดีค้นพบที่นี่เป็นครั้งแรก บนโต๊ะยังมีขวด
ไวน์และจานวางอยู่
สุสานแห่งนี้เป็นอุโมงค์ฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็น
สุสานของใคร และสร้างขึ้นเมื่อใด ลักษณะของตัวสุสานจะแตกต่างไปจากพีระมิด เพราะได้มีการจัดสร้างเป็น
อุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย ตามริมผนังของอุโมงค์เป็นช่อง ๆ ไว้ สำหรับเป็นที่ บรรจุศพ มีแท่น
บูชาอยู่หน้าช่องบรรจุศพเหล่านั้น พร้อมตะเกียงดวงเล็กๆ แขวนไว้ บางส่วนของอุโมงค์ตกแต่งทั่ว ๆ ไปไว้อย่าง
วิจิตรงดงาม ปัจจุบันยังคงมีสภาพสมบูรณ์
-----------------------------------------------------------------------------------
ชื่อสถานที่ สุเหร่าเซนต์โซเฟีย Mosque of Hagia Sophia (Istanbul)
สถานที่ตั้ง เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม
ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13
ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะ
เกิดการขัดแย้งระหว่าง พวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือ
ตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996
(ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย สร้าง
เสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่าง มโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจน
เรียบร้อยในสภาพเดิม เมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และ
เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม
สุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และ ประดับไว้งดงาม
108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มียอดเป็นโดมคล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็น
ยอดแหลม ๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์
---------------------------------------------------------------------------------
ชื่อสถานที่ กำแพงเมืองจีน Great Wall of China
สถานที่ตั้ง ประเทศจีน
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงอิฐยักษ์ เป็นกำแพงกั้นเมืองและกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้าน
เหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบไม่ได้อีกแล้ว มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง
7.5 เมตร (10 ฟุต) ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8 ได้อย่างสบาย ๆ มีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร
(20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต) สูงพอที่จะไม่สามารถ ปีนข้ามไปได้ง่าย ๆ เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,550 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร) บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร (300 ฟุต) จะมีหอหรือป้อม สำหรับตรวจเหตุการณ์ จึงมีป้อมมากกว่า
15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุไว้ประจำทุกหอ
รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยพระเจ้า
ซี่วังตี่ (จิ๋นซีฮ่องเต้) ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี และมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎร
ทั้งประเทศ นับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่น ว่ากันว่าเป็นสิ่งก่อสร้างชนิดเดียวในโลก ที่สามารถมองเห็น
เมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มีความหมายในด้าน
ป้องกันประเทศอีกแล้ว คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก
** ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน ที่ควรทราบ
1. เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากดวงจันทร์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยมนุษย์ แม้แต่อย่างเดียว
ที่สามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ ในระดับ low Earth orbit เราสามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนโดยใช้ radar
การมองเห็นกำแพงเมืองจีนเป็นไปได้ยากเนื่องจาก สีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของธรรมชาติ ก็คือ
สีของดิน หิน
2. กำแพงเมืองจีนไม่ใช่กำแพงยาวตลอด ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีน ถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายสมัยกินเวลา
นับพันปี โดยเป็นการเชื่อมต่อกำแพงแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน จนเป็นแนวทอดยาวหลายพันกิโลเมตร
3. กำแพงเมืองจีนเป็นเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง มีการบันทึกไว้ว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคน
ถูกใช้เป็นแรงงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากเสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และความ
หิวโหย ซึ่งศพผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างใต้กำแพงนั่นเอง นานนับศตวรรษแล้ว ที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็น
สุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก เป็นที่กล่าวขานกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีนก็คือหนึ่งชีวิตของผู้
ก่อสร้างกำแพง
4. ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริงของกำแพงเมืองจีน ในภาษาจีน
จะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยคร่าวๆ กำแพงเมืองจีน
มีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขาสูง ความสูงของ
กำแพงคือ 7 เมตร และกว้าง 5 เมตร
5. กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นโดยใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ ก่อนที่จะมีการใช้อิฐในการก่อสร้าง กำแพงเมืองจีนถูก
สร้างขึ้น โดยใช้หิน ดิน และไม้ บางครั้งมีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยกันโดยเสื่อทอ บริเวณ
ใกล้กรุงปักกิ่ง กำแพงเมืองจีนถูกสร้างโดยใช้หินอ่อน ในบางสถานที่กำแพงถูกสร้างโดยใช้หินแกรนิต บางแห่งก็
ใช้ดินเผา ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างโดยใช้โคลน ทำให้ชำรุดได้ง่ายกว่า กำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกัน
ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างในราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุที่ทนทานกว่าเช่นหิน
6. สภาพของกำแพงเมืองจีนในขณะนี้ รายงานผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปี 2004 กล่าวว่า ขณะนี้ กำแพง
เมืองจีนที่ยาว 6,350 กิโลเมตร เหลือให้เห็นเพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังสั้นลงเรื่อยๆ ปัญหาเกิดขึ้นเนื่องจากการ
ขาดการดูแลและอนุรักษ์ โดยเฉพาะจากชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กำแพงเมืองจีน ไม่สนใจประกาศของรัฐบาล
ที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติ
--------------------------------------------------------------------------------------
ชื่อสถานที่ เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง Porcelain Tower of Nanking
สถานที่ตั้ง เมืองนานกิง ประเทศจีน
ปัจจุบัน -
เจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง ตั้งอยู่เมืองนานกิง ตอนเหนือของจีน สร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในสมัย
ราชวงศ์หมิงเป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว
มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา ยอดเจดีย์เป็นรูปกลมปิดทอง
องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้น
ใน ค.ศ. 1430 จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ แห่งราชวงศ์เหม็งได้โปรดให้จัดสร้างเสริมขึ้นไปอีกจนสูง 9 ชั้น มีสายโซ่โยงลงมา
8 เส้น มีกระดิ่งแขวนตามสายโซ่ 72 ลูก เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกคุณบิดา มารดา
จักรพรรดิ์ยุ่งโล้ได้บรรจุเครื่องบูชาที่ทำ ด้วยของมีค่า พวกเงิน ทองคำ และอัญมณีอื่นๆ จำนวนมาก กล่าวกันว่า
บนยอดเจดีย์มีลูกบอลปิดทอง มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง มีไข่มุก ขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องลาง
บอกความมีโชคชัย ของกรุงนานกิง
เจดีย์นี้เคยถูกฟ้าผ่า และถูกพวกกบฎไท่ผิง ทำลายเมื่อปี พ.ศ. 2396 (ค.ศ. 1853) เสียหายมาก ต้องมีการ
ซ่อมแซมเพื่อ ให้ส่วนที่เหลืออยู่ได้อวดความงามอันน่ามหัศจรรย์ต่อไป ส่วนของมีค่าภายในนั้นถูกปล้นสะดมสูญหาย
ไปหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่า เป็นเจดีย์ที่ทำด้วยกระเบื้องเคลือบ วิจิตรงดงามมีค่าสูงยิ่ง
(บางตำรา กล่าวว่า เจดีย์กระเบื้องเคลือบก็ได้ถูกทำลายจนสิ้นซากไป จากการปะทะกันภายในกลุ่มกบฏไท่ผิง
เทียนกั๋ว และตั้งแต่นั้นมา "เจดีย์กระเบื้องเคลือบ"ที่มีชื่อเสียงเรืองนามไปทั่วโลกนั้นก็ได้ปลาสนาการหายไปจาก
โลกนี้โดยสิ้นเชิง)
-------------------------------------------------------------------------------
ชื่อสถานที่ กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ : Stonehenge
สถานที่ตั้ง เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ
ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วย
แนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา
เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่
สองก้อนวงกลมรอบนอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต
วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต
วงในสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ย
แล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่
ไม่มีร่องรอยของความเป็นมา ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ
ในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่น ๆ อีกเลย จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้น
มาจากไหน และไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้าง บริเวณที่ดังกล่าว ใช้อะไรยกหินก้อน ที่หนัก
หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง 13 ฟุต นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์
ยุคปัจจุบันยิ่งนัก
มีผู้สันนิษฐานถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างสโตนเฮนจ์กันหลายประเด็น แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือ
มากที่สุดคือ เป็นสัญลักษณ์ถึงอวัยเพศหญิง เป็นสถานที่สำหรับการทำพิธีกรรมทางศาสนาของชนกลุ่มที่นับถือ
ลัทธิดรูอิต รองลงมาคือความเชื่อที่ระบุว่า เป็นการสร้างเพื่อหวังผลทางดาราศาสตร์ ใช้ในการสังเกตปรากฏการณ์
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เช่น สุริยุปราคา เป็นนต้น
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no02-07/middle.htmlต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น